,aspect=fill)
ผู้ผลิตนาฬิกาซึ่งเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมรายสําคัญที่มีประวัติย้อนกลับไปถึงปี ค.ศ. 1917 Rado เป็นมุ่งมั่นที่จะจับจังหวะเวลาในปัจจุบัน และหล่อหลอมอนาคต เพื่อเป้าหมายนี้ เราทํางานอย่างไม่ลดละเพื่อพัฒนาวัสดุ สี และรูปทรงใหม่ๆ ที่สํานักงานใหญ่ของเราในเมืองเลงนาว ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และทั่วโลก นี่คือเหตุผลว่าทําไมเราจึงได้รับการกล่าวถึงว่าเป็น "Master of Materials"
,aspect=fill;Crop=(0,0,300,220),gravity=Center)
Rado ได้ชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุ เราได้ปฏิวัติการผลิตนาฬิกาแบบดั้งเดิม อีกทั้งยังเป็นผู้นำอุตสาหกรรม ด้วยการเปิดตัวไฮเทคเซรามิก ไฮเทคเซรามิกที่มีน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ ไฮเทคเซรามิกที่มีสีสันสดใส และ Ceramos เข้าสู่คอลเลคชั่นที่โดดเด่นด้านการออกแบบของเรา Rado ซึ่งเป็นนักออกแบบที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติระดับนานาชาติมากมาย ถือเป็นบริษัทเชี่ยวชาญด้านการออกแบบที่มีความคิดก้าวไกลมากที่สุดในอุตสาหกรรมนาฬิกาในปัจจุบัน
ภารกิจในการกำหนดมาตรฐานสำหรับอุตสาหกรรมนาฬิกา เป็นผู้นำ และเป็นผู้บุกเบิกจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง วัสดุ นวัตกรรม เทคโนโลยี ประวัติศาสตร์ ความเบา ความนุ่มนวล การออกแบบ ความอบอุ่น พลังงาน ความเป็นอมตะ ความทนทาน ความมีชีวิตชีวา สไตล์ แฟชั่น สีสัน อดีต ปัจจุบันและอนาคต ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องราวที่น่าสนใจของ Feel It! ของ Rado
,aspect=fill;Crop=(0,0,300,184),gravity=Center)
,aspect=fill;Crop=(0,0,200,200),gravity=Center)
เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ II โรงงานแห่งนี้ได้เป็นหนึ่งในผู้ผลิตนาฬิการายใหญ่ที่สุด โดยมีชื่อที่เหมือนกันว่า คุณภาพที่ผลิตในสวิส นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ครั้งต่อไปของพี่น้อง – การเปิดตัวแบรนด์นาฬิกาของตัวเอง เข้าสู่ Rado
,aspect=fill;Crop=(0,0,200,200),gravity=Center)
‘ถ้าเราสามารถจินตนาการสิ่งใดขึ้นมาได้ เราก็สามารถสร้างสรรค์สิ่งนั้นได้ ถ้าเราสร้างสรรค์สิ่งใดได้ เราก็จะทำสิ่งนั้น’ คำขวัญที่สร้างแรงบันดาลใจนี้มาพร้อมกับการเปิดตัว Rado Green Horse ในปี 1957 นาฬิกาที่ก้าวล้ำนี้เป็นบทใหม่ของตระกูล Schlup หลังจากสี่สิบปีแห่งความสำเร็จ สองพี่น้องเริ่มลงทุนในแบรนด์นาฬิกาของตนเอง Rado ซึ่งเป็นคำที่มีความหมายว่า 'วงล้อ' ในภาษาเอสเปรันโต
,aspect=fill;Crop=(0,0,200,200),gravity=Center)
หลังจากเปลี่ยนห้องทำงานของครอบครัวเป็นโรงงานที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะแล้ว พี่น้องคู่นี้ไม่เคยหันหลังกลับ ในปี 1962 พวกเขาได้เปิดตัวนาฬิกา Rado DiaStar ที่ป้องกันรอยขีดข่วนได้เรือนแรกของโลก ซึ่งสร้างขึ้นจากโลหะแข็งที่มีความทนทานสูงเป็นพิเศษ เป็นนวัตกรรมทางเทคนิคที่น่าประทับใจ และมีแนวทางการออกแบบที่ล้ำยุคซึ่งกำลังกลายเป็นสายสัมพันธ์ที่สำคัญสำหรับ DNA ของแบรนด์ การเปลี่ยนแนวคิดที่มีวิสัยทัศน์ให้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่ขายได้ดีที่สุดคือสูตรที่ Rado สร้างขึ้นมาเอง
,aspect=fill;Crop=(0,0,200,200),gravity=Center)
ในปีเดียวกันนั้นเอง นาฬิกาสำหรับดำน้ำรุ่นแรก Captain Cook ได้รับการเปิดตัวโดยมุ่งเป้าไปที่ 'แพทย์ วิศวกร นักกีฬา นักดำน้ำในทะเลลึก นักแข่งรถ’ เอกลักษณ์ของนาฬิการุ่นนี้คือสมอแบบหมุนได้ซึ่งสามารถระบุเวลาที่นาฬิกาจำเป็นต้องเข้ารับบริการ Captain Cook สะท้อนจินตนาการของสาธารณชนและพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นหนึ่งในการออกแบบที่คงทนที่สุดของ Rado สมอได้กลายเป็นโลโก้ของ Rado และในบางตลาดมีความสำคัญมากกว่าชื่อของแบรนด์เอง
,aspect=fill;Crop=(0,0,200,200),gravity=Center)
ความสง่างามนั้นเกิดจากลักษณะที่เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสและเป็นชิ้นหนา แต่มีช่องรับแสงขนาดใหญ่แบบแปดเหลี่ยม ทั้งสองรุ่นมีความล้ำหน้าในทางเทคนิคและถ่ายทอดจิตวิญญาณด้วยรูปร่างแบบร่วมสมัย
,aspect=fill;Crop=(0,0,200,200),gravity=Center)
ในทศวรรษ 1970s ซึ่งเป็นทศวรรษของเครื่องบิน Concorde และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล Rado ได้สร้างตนเองเป็นนาฬิกาแห่งอนาคตสำหรับผู้คน ทีมวิจัยและพัฒนาของ Rado ได้ทดลองกับวัสดุล้ำยุคและเทคโนโลยีล้ำสมัย โดยได้สร้างพิมพ์เขียวที่ถอดแบบมาจากนาฬิการุ่นดั้งเดิมอย่างแท้จริง รุ่นที่มีการทดลองมากที่สุดสองรุ่นในยุคปัจจุบันโดยทีมออกแบบของ Rado คือ Elegance และ Glissière Glissière ที่สะดุดตาได้รับการเปิดตัวในปี 1976 โดยเป็นนาฬิการูปทรงสี่เหลี่ยมที่มีขอบเอียงอย่างเห็นได้ชัด เวลาถูกแสดงผลอยู่บนหน้าปัดสีดำผ่านช่องรับแสงที่โค้งมน คริสตัลแซฟไฟร์แบบขอบจรดขอบและการเคลือบโลหะถือเป็นองค์ประกอบสองอย่างที่มีความหมายเช่นเดียวกับการออกแบบของ Rado
ปี 1983 ได้เห็นการมาถึงของ Rado Anatom นาฬิกาที่ได้รับการกล่าวขานว่า 'ถูกหล่อขึ้นมาให้พอดีกับข้อมือเพื่อให้ความสบายสูงสุดแก่ผู้สวมใส่’ แซฟไฟร์รูปทรงกระบอกของนาฬิกาถือเป็นสิ่งแรกในการผลิตนาฬิกาเช่นเดียวกัน ความสำเร็จเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้กับการเปิดตัวของ Rado Anatom ในนิวยอร์ก Andy Warhol ได้สร้างภาพวาดขนาด 1 x 1 เมตร ซึ่งได้กลายเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายที่เขาได้ผลิตขึ้น
,aspect=fill;Crop=(0,0,200,200),gravity=Center)
ปี 1986 Rado Integral มาถึงอย่างถล่มทลาย โดยการปฏิวัติอุตสาหกรรมนาฬิกาโดยใช้ไฮเทคเซรามิกที่ทนทานต่อการขีดข่วน ซึ่งเป็นวัสดุที่ใช้กันทั่วไปสำหรับเครื่องบินความเร็วสูงชนิดพิเศษ นี่เป็นการปูทางให้กับ Rado Ceramica ที่โดดเด่น ซึ่งอาจเป็นนาฬิกาเรือนแรกของโลกที่มีสายนาฬิกา เม็ดมะยม และตัวเรือนที่ทำจากวัสดุไฮเทคทั้งหมด ปี 1986 ถือเป็นปีที่สำคัญเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุผลอื่นๆ Rado ได้เข้าร่วมกับ SMH (เปลี่ยนชื่อเป็น Swatch Group ในปี 1998) โดยช่วยเป็นแรงผลักดันให้แบรนด์สามารถก้าวไปสู่ขั้นถัดไปของนวัตกรรม และให้การสนับสนุนในเรื่องวัสดุที่เป็นนวัตกรรมมากยิ่งขึ้น
,aspect=fill;Crop=(0,0,200,200),gravity=Center)
ในปี 2002 โรงงานในสวิสได้เปิดตัว Rado V10K ซึ่งเป็นนาฬิกาที่ทำจากเพชรไฮเทค และมีความแข็งแกร่งที่ไม่อาจหยั่งถึงอยู่ที่ 10,000 Vickers นาฬิการุ่นนี้ได้เข้าสู่ Guinness World Records ในฐานะนาฬิกาที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก จุดสำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับวิศวกรรมของสวิสสำเร็จได้ด้วยผลงานชิ้นเอกที่ทำจากเซรามิกที่บางเฉียบอย่างเช่น True Thinline ด้วยขนาดเพียง 4.9mm ตัวเรือนแบบเป็นชิ้นเดียวที่ขึ้นรูปด้วยการฉีดไฮเทคเซรามิกช่วยให้ True Thinline มีน้ำหนักเบาและมีลวดลายแบบมินิมอล เทคนิคนี้ทำให้เกิดคลื่นแห่งการออกแบบลูกใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน Rado HyperChrome
,aspect=fill;Crop=(0,0,200,200),gravity=Center)
ในปี 2011 นักฟิสิกส์และวิศวกรในเลงเนาได้เปิดตัว Ceramos™ ซึ่งเป็นวัสดุไฮเทคที่ได้รับการนำเสนอในปี 1993 สำหรับ Rado Sintra และเป็นวัสดุที่ให้ความเงาของโลหะและมีความแข็งของไฮเทคเซรามิก เซรามิกที่ปฏิวัติวงการของ Rado เป็นจุดเริ่มต้นของการร่วมมือกับบรรดาซุปเปอร์สตาร์ที่ทำงานด้านการออกแบบระดับโลก เช่น r5.5 โดย Jasper Morrison นักออกแบบผลิตภัณฑ์ชาวอังกฤษ
,aspect=fill;Crop=(0,0,200,200),gravity=Center)
True Thinline Les CouleursTM ที่เกิดจากการทำงานร่วมกับ Le Corbusier เป็นคอลเลกชั่นนาฬิกาที่มีสีสันสดใสเก้าสี เป็นการยืนยันถึงจุดยืนของ Rado ในระดับแนวหน้าด้านการออกแบบนาฬิกา Captain Cook High-Tech Ceramic ในปี 2021 ได้มีการพัฒนาอย่างเต็มวงรอบ โดยได้มีการนำสัญลักษณ์ของการออกแบบมาสร้างนิยามใหม่ให้กับศตวรรษที่ 21st อนาคตของช่างทำนาฬิกาจากเลงนาวดูสดใสกว่าที่เคย ดังที่พี่น้อง Schlup เคยกล่าวไว้ว่า 'ถ้าเราสามารถจินตนาการสิ่งใดขึ้นมาได้ เราก็สามารถสร้างสรรค์สิ่งนั้นได้ ถ้าเราสร้างสรรค์สิ่งใดได้ เราก็จะทำสิ่งนั้น'
